
ใครที่มีแพลนเที่ยวลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยเสน่ห์อันหลากหลาย ผสมผสานกลิ่นอายของประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 2,000 ปีเข้ากับความทันสมัยของเมืองได้อย่างลงตัว รุ่มรวยด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในยุคอาณานิคมโรมันโบราณ ที่ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นเมืองหลวงที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป ทั้งยังเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมาย เช่น หอนาฬิกาบิ๊กเบน พระราชวังบักกิงแฮม มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ฯลฯ
ชับบ์ มัดรวม 12 พิกัดที่เที่ยวลอนดอนยอดนิยมที่ครองใจนักเดินทางทั่วโลก ให้คุณเที่ยวสบายแบบไม่ง้อทัวร์ แต่ก่อนอื่นคุณต้องเตรียมประกันภัยการเดินทางต่างประเทศของชับบ์ (Chubb Travel Insurance) ไปด้วยจะได้เที่ยวอุ่นใจไปด้วยกัน พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย
เจ้าของฉายา “ชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรป” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเทมส์ที่สวยงาม ชิงช้ามาพร้อมความสูงถึง 135 เมตร (443 ฟุต) London Eye มีชื่อเดิมว่า “Millennium Wheel” สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการก้าวสู่สหัสวรรษใหม่ในปี 2000 ผลงานการออกแบบโดย David Marks และ Julia Barfield ใช้เวลาก่อสร้างราว 2 ปี ก่อนจะเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.1999 และได้รับการจดบันทึกว่าเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก ก่อนที่อีก 6 ปีต่อมา ชิงช้าสวรรค์ “The Star of Nanchang” ในประเทศจีน จะโค่นสถิติลงด้วยความสูง 160 เมตร และ Singapore Flyer ก็สร้างสถิติใหม่ด้วยความสูง 165 เมตร แต่ทว่า London Eye ก็ยังคงเป็น "ชิงช้าสวรรค์ที่สร้างด้วยโครงเหล็กค้ำข้างเดียวที่สูงที่สุดในโลก"
ปัจจุบัน London Eye เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในลอนดอน มีผู้เข้าชมกว่า 3 ล้านคนต่อปี ที่รอต่อคิวรอชมความสวยงามของกรุงลอนดอนบนชิงช้าสวรรค์ ถือเป็นการเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ ของลอนดอนในแบบพาโนรามาภายในเวลาประมาณ 30 นาทีต่อรอบ ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กเบน (Big Ben) พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) วิวแม่น้ำเทมส์ (The River Thames) ฯลฯ อีกทั้ง London Eye ยังเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอังกฤษเลยล่ะ
ชื่อเสียงของ “หอคอยแห่งลอนดอน” (Tower of London) สถานที่สำคัญที่สุดทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศอังกฤษ มักจะได้รับการกล่าวขานถึงความลี้ลับและตำนานเรื่องเล่าต่าง ๆ อย่างวิญญาณเจ้าชายที่หอคอยเลือด (Bloddy Tower) หรือวิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn) หอคอยแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1078 โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ (King William I of England) เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการปกป้องเมืองจากผู้รุกราน ต่อมาใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ คลังเก็บสมบัติ สถานที่ประหารชีวิต และคุกสำหรับนักโทษทางการเมืองคนสำคัญอย่าง แอนน์ โบลีน, เลดี้เจน เกรย์ (Lady Jane Grey)
หอคอยแห่งลอนดอนมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อย่างมาก ภายในมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ เช่น หอขาว (White Tower) พระราชวังหลวง (Royal Palace) มงกุฎเพชร (The Crown Jewels) สถานที่เก็บรักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของกษัตริย์อังกฤษ และ ทาวเวอร์กรีน (Tower Green) ลานประหารชีวิตพระราชินีแอนน์ โบลีน และเซอร์โทมัส มอร์ (Thomas More) แล้วยังเป็นสถานที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่าของอังกฤษอย่าง มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด (St Edward's Crown) มงกุฎสมเด็จพระราชินี (Imperial State Crown) ที่ทำจากทองคำและประดับด้วยเพชรพลอยกว่า 3,000 เม็ด และโคอินัวร์ (Koh-i-Noor diamond) เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกที่ประดับอยู่บนมงกุฎของสมเด็จพระราชินี พร้อมสมบัติล้ำค่าที่ทำให้หลายคนอยากมาชื่นชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง
กล่าวกันว่า ใครไปเที่ยวลอนดอนแล้วไม่ได้เห็นพิธีเปลี่ยนเวรยามทหารรักษาพระองค์ (Changing of the Guards) ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อาจต้องกลับไปเที่ยวลอนดอนใหม่อีกครั้ง เพราะที่พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ และศูนย์กลางการบริหารงานของสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร พระราชวังแห่งนี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์อันโดดเด่นของกรุงลอนดอน ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาสัมผัสกับบรรยากาศอันหรูหรา สง่างาม และเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยาวนานของราชวงศ์อังกฤษ
พระราชวังบักกิงแฮมมีประวัติย้อนหลังไปกว่า 350 ปี เดิมเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1665 ต่อมาได้ถูกซื้อโดยพระเจ้าจอร์จที่ 3 (King George III) ในปี ค.ศ. 1766 และได้รับการปรับปรุงจนกลายเป็นพระราชวังอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1782 ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีพระราชวังบักกิงแฮมถือเป็นสักขีพยานในการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์มากมาย เป็นสถานที่จัดงานสำคัญของราชวงศ์ เช่น พิธีราชาภิเษก พระราชพิธี และงานเลี้ยงต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง โดยในช่วงฤดูร้อนบางส่วนของพระราชวังจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม เช่น ห้องบอลรูม ห้องรับรอง และห้องสมุดอีกด้วย
เจาะลึกประวัติศาสตร์โลกผ่านกว่า 20 แกลเลอรีที่จัดแสดงใน Natural History Museum พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่เก็บรวบรวมสมบัติล้ำค่าจากธรรมชาติ ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ทั้งพืชพันธุ์ สัตว์ โบราณวัตถุ จนถึงอุกกาบาตจากห้วงอวกาศกว่า 80 ล้านชิ้นที่มีอายุเก่าแก่กว่า 4.5 พันล้านปี จัดแสดงภายในอาคารขนาดใหญ่ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมวิกตอเรียนอันยิ่งใหญ่ ทำให้พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในเซาท์เคนซิงตัน เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองและสถานที่ที่น่าไปเยี่ยมชมที่สุดแห่งหนึ่งของลอนดอน
ภาพโครงกระดูกปลาวาฬสีน้ำเงินขนาดใหญ่ที่ชื่อ “Hope” ใน Hintze Hall และโครงกระดูกไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ รวมถึงไฮไลท์อย่าง ทีเร็กซ์ (T-Rex) และไทรเซอราทอปส์ (Triceratops) ที่จัดแสดงอยู่ภายใน Dinosaur Gallery ทำให้ Natural History Museum กลายเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของโลก ที่ใครมาเยือนลอนดอนแล้วไม่ควรพลาด แวะมาติวเข้มชั่วโมงประวัติศาสตร์ธรรมชาติโลกในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
รู้ไหมว่า “บิ๊กเบน” (Big Ben) ไม่ใช่ชื่อหอนาฬิกาสีทองขนาดมหึมาที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่มันเป็นชื่อของระฆังขนาดใหญ่หนัก 13.5 ตัน ที่แขวนอยู่เหนือหน้าปัดนาฬิกาบนหอคอยเซนต์สตีเฟน (St. Stephen's Cathedral) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภาสหราชอาณาจักรในกรุงลอนดอน ว่าแต่ทำไมผู้คนถึงเรียกหอนาฬิกาแห่งนี้ว่าบิ๊กเบนกันล่ะ? นั่นเพราะเซอร์เบนจามิน ฮอลล์ (Sir Benjamin Hall) ซึ่งเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างหอคอยในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็น First Commissioner of Works (ผู้บัญชาการงานก่อสร้างคนแรก) มีร่างกายสูงใหญ่ ผู้คนจึงเรียกขานระฆังใบใหญ่ว่า "Big Ben" ตามชื่อเล่นของท่านเซอร์นั่นเอง
ระฆังใบใหม่หรือ บิ๊กเบน ถูกหล่อขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1857 แต่ระฆังใบแรกมีรอยร้าวจึงหล่อระฆังใบใหม่ขึ้นในอีกหนึ่งปีต่อมา กระทั่งหอคอยเซนต์สตีเฟนได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดของเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณะใหม่ก่อนจะเปิดตัวในปี ค.ศ. 1943 และทำหน้าที่มาจนถึงปี ค.ศ. 2016 จึงได้รับการบูรณะบิ๊กเบนอีกครั้งกินเวลานานถึง 4 ปี ก่อนจะอวดโฉมสวยงามในปี ค.ศ. 2020 และเสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้นอีกครั้งมาจนถึงปัจจุบัน เป็นอีกหนึ่งจุดเช็กอินที่มาถึงลอนดอนแล้วต้องหามุมเก๋ ๆ บนสะพานเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Bridge) เพื่อถ่ายรูปคู่กับหอนาฬิกาจะออกมาปังสุด
เพียงไม่กี่นาทีจากหอนาฬิกาบิ๊กเบน คุณก็จะพบกับมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Abbey) มหาวิหารศิลปะกอธิกขนาดใหญ่ใจกลางกรุงลอนดอน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Palace of Westminster) มหาวิหารแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี เป็นทั้งสถานที่สำคัญทางศาสนา สถานที่จัดพระราชพิธีราชาภิเษก รวมถึงสถานที่ฝังพระบรมศพของกษัตริย์อังกฤษและพระบรมวงศานุวงศ์กว่า 30 พระองค์ และได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ในปี ค.ศ. 1982
แต่ก่อนจะเป็นมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม เดิมเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างโดยนักบุญเบเนดิกติน (Benedictine) ในปี ค.ศ. 960 เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา กระทั่งพระเจ้าเฮนรี่ที่ 3 (Henry III of England) ได้สร้างโบสถ์เวสต์มินสเตอร์สไตล์กอธิกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้นครอบโบสถ์อันเดิมไว้ เพื่ออุทิศแก่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพบาป (Edward the Confessor) และใช้เป็นสถานที่ฝังพระบรมศพของพระองค์เอง
นอกจากนี้ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ยังเป็นสถานที่อภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 กับแอนน์ โบลีน, พระราชินีแมรี่ที่ 1 กับพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน รวมถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ทรงประกาศสุนทรพจน์ปลุกใจเสนาธิการก่อนการรุกรานของกองทัพเรือสเปน พิธีราชาภิเษกและพิธีพระบรมศพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในปี ค.ศ. 2023 อีกด้วย บอกเลยสถาปัตยกรรมข้างในงดงามมาก
ท่องไปในโลกแห่งเวทมนตร์และสนุกกับการสวมบทบาทสมาชิกของบ้านต่าง ๆ ในภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) ทั้ง กริฟฟินดอร์ (Gryffindor) บ้านแห่งความกล้าหาญ, ฮัฟเฟิลพัฟ (Hufflepuff) บ้านแห่งความซื่อสัตย์, เรเวนคลอ (Ravenclaw) บ้านแห่งปัญญา และ สลิธีริน (Slytherin) บ้านแห่งความทะเยอทะยาน แค่นั่งรถไฟจากลอนดอนประมาณ 1 ชั่วโมง คุณก็จะได้ทัวร์สตูดิโอวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ลอนดอน: เดอะเมคกิ้ง ออฟ แฮร์รี่ พอตเตอร์ (The Warner Bros. Studio Tour: The Making of Harry Potter) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับแฟน ๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์ทั่วโลก และต่อให้คุณไม่ใช่แฟนคลับของแฮร์รี่ คุณก็เอนจอยกับสตูดิโอแห่งนี้ได้นานหลายชั่วโมง
Warner Bros. Studio จะพาคุณขึ้นรถไฟสายฮอกวอตส์เอ็กซ์เพรส (Hogwarts Express) ดีไซน์วินเทจที่ชานชาลา 9 3/4 เพื่อไปสัมผัสกับโลกแห่งเวทมนตร์ที่คุ้นเคยในภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ เสมือนหลุดเข้าไปในหนังจริง ๆ ท่ามกลางฉากสุดอลังการ เครื่องแต่งกาย การตกแต่ง และเทคนิคการสร้างสัตว์พิเศษในภาพยนตร์ เช่น นกฮูกเฮดวิก โดบี้ และมังกร เดินช้อปไม้เท้าวิเศษและเครื่องแบบนักเรียนในตรอกไดแอกอน แวะดื่มบัตเตอร์เบียร์ยอดนิยมของเหล่าพ่อมดแม่มดที่ร้าน Hog's Head Pub แล้วคุณยังจะได้เรียนรู้กระบวนการสร้างภาพยนตร์ หรือสัมผัสกับผู้คนที่ทำงานในวงการภาพยนตร์อีกด้วย
“พิพิธภัณฑ์อังกฤษ” หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และธรรมชาติของมนุษย์ที่สำคัญที่สุดในโลก มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของอังกฤษและอันดับ 2 ของโลก เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1753 เพื่อจัดแสดงของสะสมสุดหวงของเซอร์ ฮานส์ สโลน (Sir Hans Sloane) แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ก่อนจะเปิดให้เข้าชมเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1759 ซึ่งต่อมาท่านเซอร์ก็ได้มอบของสะสมทั้งหมดให้แก่พระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ (George II of Great Britain) ซึ่งคอลเล็กชันต่าง ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการขุดค้นพบ การบริจาค การรวบรวม จนถึงการล่าอาณานิคมของอังกฤษ พิพิธภัณฑ์ก็เริ่มขยายพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรองรับห้องจัดแสดงกว่า 100 ห้อง และมีของสะสมในความครอบครองของพิพิธภัณฑ์ถึงกว่า 8 ล้านชิ้น และนำมาจัดแสดงราว 50,000 กว่าชิ้น
นิทรรศการที่โด่งดังที่สุดภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้แก่ ห้องหินโรเซตต้า (Rosetta Stone) หินสลักโบราณที่แกะสลักข้อความภาษาอียิปต์โบราณ ภาษาเดโมติก และภาษากรีก ปาร์เธนอน (The Parthenon) ซากปรักหักพังของวิหารกรีกโบราณที่อุทิศให้กับเทพีเอเธนา และเป็นหนึ่งในอาคารที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตะวันตก ห้องมัมมี่ (Mummy) คอลเล็กชันมัมมี่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงสิ่งของล้ำค่าอย่าง เพชรโฮป (The Hope Diamond) เพชรสีฟ้าขนาด 45.52 กะรัต หนึ่งในเพชรที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในโลก ด้วยความยิ่งใหญ่และของล้ำค่ามากมายภายใน British Museum คุณก็สามารถใช้เวลาหนึ่งวันเดินทัวร์ให้ทั่วทั้งพิพิธภัณฑ์ได้เลย
เดินเที่ยวจนเหนื่อยก็ถึงเวลาเตรียมพร้อมก่อนตะลุยลอนดอนกันต่อ ไม่มีที่ไหนจะให้คุณอิ่มท้องและตื่นตาตื่นใจได้ดีเท่ากับอาหารหลากหลายนานาชาติที่ตลาดโบโรห์ (Borough Market) อีกแล้ว ตลาดเก่าแก่ที่สุดในลอนดอนแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1014 ตั้งแต่ยุคสมัยที่โรมันยังปกครองอังกฤษอยู่ อดีตตลาดแห่งนี้เป็นสถานที่ค้าขายพืชผลทางการเกษตร สัตว์ และอาหารสดมากมาย จวบจนปัจจุบันตลาดโบโรห์มีทั้งอาหารสด ชีส เบเกอรี และสตรีทฟูดชื่อดังให้เลือกสรร จนหลายคนเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกชิมร้านไหนก่อนดี เพราะที่นี่มีแต่ของน่ากินเต็มไปหมด
มาถึงตลาดโบโรห์แล้วต้องไม่พลาด ร้านอาหารทะเลสด ๆ หอยนางรมตัวใหญ่ ไส้กรอกเยอรมัน ข้าวผัดสเปนปาเอญ่า (Spanish Paella) ไข่สก็อตติช (Scotch Egg) แวะชิมชีสเจ้าดังที่ร้าน Neal’s Yard Dairy พาสต้าเส้นทำเองที่ร้าน Padella หรือฟินกับอาหารสเปนสูตรต้นรับที่ร้าน Brindisa และนั่งชิลกับกลิ่นกาแฟคั่วสดหอมฟุ้งที่ร้าน Monmouth Coffee นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีของฝากจากอังกฤษติดมือกลับบ้านให้เลือกชอปอีกมากมาย
อิ่มท้องแล้วก็ไปเดินเที่ยวกันต่อในย่านสุดฮิปของลอนดอนที่โคเวนท์การ์เด้น (Covent Garden) ซึ่งเป็นย่านโปรดของชาวลอนดอน ที่ขึ้นชื่อเรื่องร้านค้าเก๋ ๆ คาเฟ่สวย ๆ ร้านอาหาร ตรอกนีลส์ยาร์ดที่มีสินค้าและอาหารออร์แกนิกให้เลือกชอป โรงละครรอยัลโอเปร่าเฮ้าส์ (Royal Opera House) และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย หากคุณมีเวลามากพอจะเข้าชมนิทรรศการที่ London Transport Museum ชอปปิงสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึกในตลาดเก่าแก่อายุกว่า 350 ปี ถ่ายรูปกับโบสถ์เซนต์พอล (St. Paul's Church) โบสถ์เก่าแก่ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมบาโรก และชมการแสดงแบบสตรีตของหนุ่มสาวชาวลอนดอน
ย่านสุดฮิปแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ย้อนกลับไปในสมัยศตวรรษที่ 13 พื้นที่แห่งนี้เป็นที่ดินของอารามเวสต์มินสเตอร์ ใช้เป็นสวนผัก สวนผลไม้ และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1670 กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 2 (King Charles II) ได้มอบที่ดินแห่งนี้ให้กับเคาน์เตสแห่งโคเวนทรี (Countess of Coventry) ท่านได้พัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นสวนสาธารณะ ตลาด และที่พักอาศัยที่เรียกว่า "สวนโคเวนท์" กระทั่งศตวรรษที่ 17 และ 18 ย่านโคเวนท์การ์เด้นได้กลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและความบันเทิง มีโรงละคร ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้ามากมาย และผ่านเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 19 ก่อนจะมีการบูรณะฟื้นฟูย่านโคเวนท์การ์เด้นในศตวรรษที่ 20 จนกลายเป็นย่านชอปปิงและสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
ช่วงบ่ายแก่ ๆ ที่อากาศเย็นสบาย คุณต้องไม่พลาดการไปเช็กอินชมวิวสวย ๆ บนสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ที่ Tower Bridge สะพานที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ด้วยสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรียโทนสีฟ้าขาว ตัวสะพานยกเปิดได้เพื่อให้เรือที่มีขนาดใหญ่แล่นผ่าน จัดเป็นสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง และกลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอนมาตั้งแต่การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1894
แนวคิดในการสร้าง Tower Bridge มาจากการสร้างแทนที่สะพานลอนดอนเก่า ที่ไม่สามารถรองรับการจราจรที่หนาแน่นมากขึ้น กรุงลอนดอนจึงจัดให้มีการประกวดออกแบบสะพานแห่งใหม่ และชัยชนะตกเป็นของสถาปนิก ฮอเรซ โจนส์ (Horace Jones) และวิศวกรโยธา จอห์น วูล์ฟ แบร์รี (John Wolfe Barry) ร่วมกับเฮนรี มาร์ค บรูเนล (Henry Marc Brunel) การก่อสร้างสะพานกินเวลานานถึง 8 ปี (ค.ศ.1886-1894) ใช้งบประมาณในการสร้างมหาศาลกว่า 1 ล้านปอนด์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างทางวิศวกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดในยุคนั้น
หากการชมวิวแม่น้ำยังไม่จุใจ คุณสามารถขึ้นไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทาวเวอร์บริดจ์ (Tower Bridge Museum) และชมวิวลอนดอนแบบพาโนรามาบนยอดหอคอยคู่ พร้อมท้าทายความสูงและหวาดเสียวไปกับการเดินบนสะพานกระจกใสที่มองเห็นแม่น้ำและรถที่กำลังเคลื่อนผ่านบนสะพาน เรียนรู้ประวัติศาสตร์การก่อสร้าง เหตุการณ์สำคัญของสะพานแห่งนี้ในหน้าประวัติศาสตร์ รวมถึงสนุกกับการแต่งตัวเป็นอัศวินและฉากจำลองในยุคกลางได้ด้วย
ปิดท้ายยามค่ำคืนกันที่อ็อกฟอร์ด สตรีต (Oxford Street) ที่ที่คุณจะเพลินกับการชอปปิงและหาของกินอร่อย ๆ บนถนนชอปปิงที่โด่งดังที่สุดในโลกใจกลางลอนดอนที่ทอดตัวยาวกว่า 2.4 กิโลเมตร เต็มไปด้วยร้านค้าชั้นนำกว่า 300 ร้าน รวมถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และร้านอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดัง Selfridges, John Lewis, Primark, Mark & Spencer และ Debenhams ร้านแฟชั่นไฮสตรีต ความงาม เทคโนโลยี สนีกเกอร์ สตรีตแฟชั่น ของแต่งบ้าน ฯลฯ
การเดินทางมายังแหล่งชอปปิงยอดนิยมแห่งนี้ก็แสนสะดวกสบาย เพราะมีรถไฟใต้ดินที่ใกล้แหล่งชอปปิงที่สุดถึง 3 สถานี ได้แก่ Oxford Circus, Marble Arch และ Bond Street ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 200 ล้านคนต่อปี ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในแหล่งชอปปิงที่พลุกพล่านที่สุดในโลก โดยเฉพาะบ่ายวันอาทิตย์ที่จะมีนักท่องเที่ยวและชาวลอนดอนไปรวมตัวกันที่นี่จนหนาแน่น ไม่ว่าคุณจะมองหาเทรนด์แฟชั่นล่าสุด สินค้าหรู หรือดื่มด่ำกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา Oxford Street มอบประสบการณ์การชอปปิงที่ไม่มีใครเทียบได้ในใจกลางลอนดอน
ลอนดอนยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกมากมาย แต่จะเที่ยวให้สนุกและอุ่นใจต้องมีผู้ช่วยมือหนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากนักท่องเที่ยวหลายปีซ้อน ชับบ์ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ (Chubb Travel Insurance) ประกันคุณภาพที่พร้อมดูแลครอบคลุมทุกเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ไฟลต์ดีเลย์ ทรัพย์สินสูญหาย เราพร้อมดูแลคุณด้วยสายด่วนฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 611 4242 หรือ www.chubbtravelinsurance.co.th/